หากกล่าวพัฒนาการด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมจะสามารถแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ได้ดังนี้ ในยุคแรกที่การสื่อสารถูกนำมาใช้เพื่อเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล (Human-to-Human) โดยเริ่มมาจากการสื่อสารผ่านสาย เช่นโทรศัพท์สาย หรือ โทรเลข และได้มีการพัฒนามาเป็นระบบไร้สายต่าง ๆ เช่น TDMA GSM หรือ CDMA จนกระทั้งถึงยุคต่อมาเป็นการสื่อสารที่ทำให้บุคคลสามารถเชื่อมโยงต่อกันได้มากขึ้นจนเกิดเป็นลักษณะของเครือข่ายสังคมหรือ Social Networks โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้การสื่อสารระหว่างมนุษย์เป็นได้อย่างแพร่หลายและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อในยุคปัจจุบันนี้ที่สิ่งที่เป็นที่สนใจของมนุษย์ไม่ใช่เพียง ข้อความ รูปภาพ หรือ สื่อวีดีโอ อีกต่อไป แต่ข้อมูลรอบตัวเรานั้นเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญมากขึ้น เนื่องมาจากการที่สามารถถูกนำมาใช้งานได้ในเกือบทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็น การเฝ้าระวัง (Monitoring) วิเคราะห์ (Analysis) การกำหนดนโยบาย (Policy) การพัฒนาคุณภาพชีวิต (Life Improvement) และ การทำการตลาด (Marketing) เป็นต้น จากประโยชน์ดังกล่าวทำให้การเก็บข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญจึงทำให้มีการพัฒนาการสื่อสารให้อุปกรณ์สามารถติดต่อเชื่อมโยงกันได้ ที่เรียกว่า Machine-to-Machine (M2M) การคุยกับระหว่างอุปกรณ์นี้จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายเพื่อที่ข้อมูลจะสามารถถูกเก็บสะสมไว้ได้ในปริมาณที่มากและมีความถูกต้อง จากหลักการนี้จึงทำให้เกิดคำว่า “Internet of Things” หรือ “IoT” ขึ้น
ในการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้มีความท้าทายหลายประการขึ้นอยู่กับความต้องการของงานที่จะถูกนำไปใช้ จึงทำให้เทคนิคในการทำ IoT มีหลายลักษณะ ซึ่งในลักษณะต่างนี้มีปัจจัยที่จะถูกยกขึ้นมาเป็นกุญแจสำหรับการกำหนดการนำมาใช้เช่น การใช้พลังงาน ความเร็วในการสื่อสาร หรือ ปริมาณอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเป็นต้น ซึ่งในแต่ละงานจำเป็นต้องมีทีมงานที่สามารถออกแบบ จัดทำเพื่อให้เกิดประสิทธิผลที่สูงสุดได้